เติมลมรถกระบะเท่าไรจึงจะเหมาะสม
ยังมีหลายคนที่คิดว่าการเติมลมรถกระบะสามารถกะเกณฑ์ได้เองตามความรู้สึกจากการใช้งาน และไม่ได้ใส่ใจค่าปริมาณการเติมลมยางอย่างเหมาะสมเท่าที่ควร ซึ่งความคิดเหล่านี้ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ไม่ว่าจะเป็นยางระเบิด การไม่สามารถควบคุมทิศทางรถได้และอื่นๆอีกมากมาย จึงสรุปได้ว่าเรื่องของการเติมลมรถกระบะให้เหมาะสมนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่ผู้ขับขี่ควรให้ความเอาใจใส่ และหมั่นตรวจเช็กลมยางรถอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัยอันสูงสุดในการขับขี่บนท้องถนน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเติมลมรถกระบะเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม
การเติมลมรถกระบะในแต่ละรุ่นนั้นมีค่าที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของรถและยางรถยนต์แต่ละรุ่นที่นำมาใช้ ซึ่งเราสามารถหาค่าการเติมลมรถกระบะที่เหมาะสมกับรถของเราได้จากคู่มือประจำรถยนต์หรือสามารถดูได้จากสติกเกอร์แนะนำค่าความดันลมยาง ซึ่งมักจะถูกติดไว้บริเวณ B-pillar ของประตูฝั่งผู้ขับขี่ สามารถพบได้ก็ต่อเมื่อผู้ขับขี่เปิดประตูออกมาดู (ดังรูปด้านล่าง) หรืออีกบริเวณหนึ่งที่สติกเกอร์มักถูกแปะไว้นั่นก็คือบริเวณฝาครอบถังน้ำมันด้านใน ถ้าหากทุกท่านสังเกตไปที่สติกเกอร์จะพบกับค่าลมยางที่เหมาะสมกับรถแต่ละรุ่น ซึ่งโดยทั่วไปจะบอกปริมาณแยกกันไว้ระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง และในบางรุ่นอาจมีคำแนะนำมากขึ้นไปอีกนั่นก็คือ ในกรณีที่ต้องการบรรทุกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือต้องขนสัมภาระที่มากขึ้น ก็จะมีการแนะนำค่าการเติมลมรถกระบะเพิ่มขึ้นไปด้วย
จากที่ได้กล่าวไปเบื้องต้นว่าการเติมลมยางสามารถดูได้จากคำแนะนำคู่มือรถยนต์ หรือสติกเกอร์แนะนำค่าลมยาง แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ขับขี่ควรดูประกอบกันไปด้วยนั่นก็คือ ค่าปริมาณลมยางที่เหมาะสมกับชนิดของล้อรถยนต์ที่เลือกใช้ ในเบื้องต้นการเลือกประเภทของยางรถยนต์นั้นควรเลือกตามความเหมาะสมกับรถแต่ละรุ่น และจุดประสงค์ของการใช้งาน เช่น ใช้งานทั่วไป ใช้บรรทุกของหนัก ใช้เดินทางไกลหรือจุดประสงค์อื่นๆ ซึ่งยางรถแต่ละประเภทจะมีค่า Max press หรือค่าความดันลมยางสูงสุดที่แนะนำ ดังนั้นเมื่อเติมลมรถกระบะก็ควรเติมให้ไม่เกินค่า Max press เพื่อลดโอกาสในการเกิดยางระเบิดและอุบัติเหตุบนท้องถนนนั่นเอง
ปัญหาที่มักพบจากการเติมลมรถกระบะมากหรือน้อยเกินไป
การเติมลมยางมากเกินไป
1) การยึดเกาะถนนลดลง
การเติมลมรถกระบะมากเกินไปทำให้หน้าล้อของยางมีพื้นที่ผิวสัมผัสยึดเกาะถนนลดลงซึ่งส่งผลต่อการควบคุมรถเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้งหรือเมื่อต้องเกิดการเบรคกระทันหัน และยังเป็นเหตุให้ศูนย์กลางของยางสึกหรอได้เร็วขึ้นก่อนเวลาอันควรอีกด้วย
2) รถเคลื่อนที่กระด้าง
การเติมลมรถกระบะมากเกินไปทำให้ยางรถยนต์แข็งกระด้าง มีความยืดหยุ่นน้อย เมื่อตกหลุมบ่อหรือเหยียบเศษหินต่างๆย่อมทำให้เกิดแรงกระแทกและเกิดการสะเทือนได้มากกว่าปกติ ยิ่งถ้าหากเกิดการกระแทกแรงๆ อาจส่งผลให้ยางรถยนต์ระเบิดได้เลยทีเดียว ซึ่งการกระแทกบ่อยๆนี้ก็สามารถสร้างความเสียหายต่อช่วงล่างของรถได้ด้วยเช่นกัน
เติมลมยางน้อยเกินไป
1) รถเกิดความเฉื่อย
ถ้าหากเติมลมรถกระบะในปริมาณที่น้อยเกินไป ยางรถยนต์จะมีความเต่งตึงน้อย หน้ายางจึงมีพื้นที่ผิวสัมผัสกับพื้นถนนมากกว่าปกติ เป็นเหตุที่ทำให้เกิดความเฉื่อยในการขับเคลื่อนรถยนต์มากยิ่งขึ้น และยังส่งผลให้เกิดการสึกหรอบริเวณไหล่ยางทั้งสองด้านได้เร็วและมากกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย
2) สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
เมื่อลมยางอ่อนก็ย่อมส่งผลให้การขับเคลื่อนรถยนต์ทำได้ยากมากยิ่งขึ้นและเกิดความเฉื่อยมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะในขณะออกตัว เครื่องยนต์ต้องอาศัยกำลังมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้รถสามารถขับเคลื่อนไปได้ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการที่ต้องใช้น้ำมันเชิงเพลิงเพื่อเร่งการออกตัวของรถนั่นเอง โดยเฉลี่ยแล้ว ตามรายงานกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ว่า การลดลงของลมยางทุกๆ 1 psi ส่งผลให้อัตราการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 0.2 เปอร์เซ็นต์ สรุปได้ว่ายิ่งความดันลมยางลดน้อยลงไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นเท่านั้น
3) ยางเกิดความร้อนได้ง่าย
การเติมลมยางน้อยเกินไปมีโอกาสที่แก้มยางจะยุบตัวจนเกิดการเสียดสีกัน ซึ่งเมื่อเกิดการเสียดสีย่อมเกิดการสะสมความร้อนเพิ่มขึ้นตามมา เมื่อยางรถยนต์มีการสะสมความร้อนและถูกเสียดสีอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้เกิดการระเบิดยางรถยนต์ในขณะขับขี่ได้เช่นกัน
การตรวจลมยางรถกระบะ
ข้อคำนึงที่จำเป็นในการตรวจลมยางรถกระบะคือ ควรตรวจลมยางในขณะที่ยางมีอุณหภูมิปกติหรือเพิ่งวิ่งมาได้ไม่เกินประมาณ 2 กิโลเมตร เพราะถ้าหากตรวจลมยางในขณะที่ยางมีอุณหภูมิสูงความร้อนทำให้อากาศภายในลมยางขยายตัว แรงดันลมยางที่วัดออกมาจึงมีค่ามากกว่าปกติ โดยความถี่ของการตรวจลมยางนั้นควรอยู่ที่ประมาณ 1-2 ครั้งต่อเดือน เนื่องจากโดยปกติปริมาณลมยางจะลดลงไปประมาณ 2-3 PSI ต่อเดือนหรือขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล
ดังนั้นเราจึงไม่ควรปล่อยให้ลมยางมีน้อยจนเกินไปและหมั่นเติมลมรถกระบะให้อยู่ในเกณฑ์ปริมาณที่เหมาะสม เพราะนั่นไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อยางรถยนต์ แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งการตรวจลมยางนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพราะ เราไม่จำเป็นต้องไปตรวจตามศูนย์รับบริการหรืออู่ซ่อมรถเพียงเท่านั้น แต่เราสามารถตรวจลมยางได้เองที่บ้านโดยใช้อุปกรณ์ง่ายๆได้เช่นเดียวกัน
อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจลมยาง
อุปกรณ์ตรวจเช็คลมยางหรือที่เรียกกันว่า เกจวัดลมยางนั้นมีอยู่หลากหลายชนิด ทั้งรูปแบบดิจิตอลและแบบแมนนวล ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป และเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ตรวจเช็คความดันลมยางนั้นก็สามารถหาซื้อได้ง่ายๆตามร้านค้าอุปกรณ์เครื่องยนต์ทั่วไปและมีราคาไม่แพง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์จำเป็นที่ควรมีติดรถไว้เลยทีเดียว
1) อุปกรณ์วัดลมยางแบบแท่ง
หรือที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าที่วัดลมยางแบบปากกา โดยลักษณะของที่วัดลมยางแบบนี้จะเป็นแท่งเล็กๆทรงกระบอก โดยมีปลายด้านหนึ่งเป็นเป็นหัววัดลมกลมๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะมีแถบแสดงค่าความดันลมยาง (ดังรูปข้างต้น)
ซึ่งข้อดีของเกจวัดลมยางแบบนี้คือสามารถพกพาได้สะดวกเนื่องด้วยมีขนาดกระทัดรัด อ่านค่าได้ค่อนข้างแม่นยำ ราคาไม่แพงมาก แต่ข้อเสียคือ สามารถวัดค่าได้น้อย โดยค่าสูงสุดที่วัดได้จะอยู่ที่เพียงประมาณ 40-50 PSI เท่านั้น ซึ่งวิธีการใช้งานก็คือ ให้นำหัวด้านกลมๆจ่อเข้ากับจุกเติมลมล้อรถ (ทำมุมให้พอดีเพื่อไม่ให้มีลมรั่วซึมออกมาขณะกดลงไป) กดให้แน่นค้างไว้ประมาณ 1-2 วินาที จากนั้นแถบแสดงค่าความดันลมยางจะเด้งออกมาตามปริมาณลมยางที่มีในล้อรถขณะนั้น
2) อุปกรณ์วัดลมยางแบบเข็ม
เกจวัดลมยางชนิดขี้เป็นที่นิยมค่อนข้างมากและมักพบเห็นได้ทั่วไปตามศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ โดยลักษณะของที่วัดลมยางแบบเข็มจะมีหน้าปัดทรงกลมมีเข็มอยู่ภายในเพื่อแสดงค่าลมยางโดยอีกฝั่งจะเป็นหัวทรงกลมเอาไว้จ่อเข้าจุกเติมลมล้อรถ ข้อดีของเกจเติมลมชนิดนี้คือสามารถวัดความดันลมได้ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ หรือจักรยาน อ่านค่าได้เร็ว ตรวจหาค่าได้ง่าย ซึ่งในบางรุ่นสามารถเติมลมยางได้ในตัว แต่ข้อเสียก็คือ มีความแม่นยำน้อยกว่าที่วัดลมยางแบบดิจิทัล และมีขนาดใหญ่กว่าที่วัดลมยางแบบแท่ง
โดยวิธีการใช้ก็คือนำหัวด้านกลมกดเข้าไปที่จุกเติมลมบนล้อรถยนต์เพียงแค่ 1 วินาทีให้มีเสียงฟี่ออกมาเบาๆ จากนั้นเลขความดันลมยางในขณะนั้นจะปรากฏขึ้นบนหน้าปัด
3) อุปกรณ์วัดลมยางแบบดิจิตอล
อุปกรณ์รูปแบบนี้เป็นอุปกรณ์ที่ถูกพัฒนาให้มีความทันสมัยมากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่และเพื่อความแม่นยำในการตรวจค่าลมยางมากยิ่งขึ้น ซึ่งลักษณะของที่วัดลมยางแบบดิจิตอลมีวิธีการใช้งานคล้ายกับที่วัดลมยางแบบเข็ม ต่างกันแค่เพียงที่วัดลมยางแบบบดิจิตอลสามารถอ่านค่าออกมาเป็นตัวเลขดิจิตอลเลย ซึ่งมีความแม่นยำมากกว่าแบบเข็ม และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ ที่วัดลมยางแบบดิจิตอลยังถูกพัฒนาให้ล้ำขึ้นไปอีกเป็นที่วัดลมยางแบบไร้สาย โดยการนำจุกลมยางแบบเซ็นเซอร์ไปติดที่จุกล้อรถของแต่ละล้อ โดยแต่ละจุกจะมีตัวอักษรระบุไว้ว่าต้องนำไปติดที่ล้อไหน(ดั่งรูปด้านล่าง) ซึ่งจุกลมยางเซ็นเซอร์นี้จะรายงานปริมาณลมยางตลอดเวลาเป็นรูปแบบดิจิตอลขึ้นบนหน้าจอแสดงผล ทำให้ไม่ต้องคอยเช็คลมยาง เพราะสามารถดูจากค่าที่อัปเดตได้ตลอดเวลา แต่ข้อเสียของที่เช็คลมยางแบบดิจิตอลคือ ราคาที่ค่อนข้างสูงและยังต้องคอยต้องตรวจสอบแบตเตอรี่และเซนเซอร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ประสิทธิภาพการใช้งานยังคงดีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเมื่อพบว่าลมยางอ่อนเกินไปจะได้เติมลมรถกระบะได้ทันท่วงที
วิธีการเติมลมรถกระบะ
การเติมลมยางสามารถเติมได้ตามศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถทั่วไปหรือผู้ขับขี่สามารถเติมได้เองตามปั๊มน้ำมันที่มีตู้บริการเติมลม โดยวิธีการเติมลมก็ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแค่ 3 ขั้นตอนก็เป็นอันเรียบร้อย
1. หาค่าความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถกระบะของคุณตามสติกเกอร์แนะนำปริมาณลมยางและคู่มือรถตามที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น
2. ตรวจลมยางรถยนต์ในขณะนั้น โดยการนำหัวจ่ายลมของเครื่องเติมลมกดลงไปยังจุกเติมลมล้อรถให้ได้ยินเสียงฟี่ออกมาเบาๆ จากนั้นตัวเลขปริมาณลมยางจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอเครื่องเติมลม
3. ตั้งค่าปริมาณลมยางที่ต้องการบนหน้าจอตู้เติมลม จากนั้นนำหัวจ่ายลมกดลงไปยังจุกล้อรถ กดค้างไว้จนกว่าเครื่องจะหยุดปล่อยลมออกมา เมื่อได้ปริมาณลมยางที่เหมาะสมแล้วจึงนำจุกลมยางไปปิดจุกล้อรถเพื่อป้องกันไม่ให้ลมยางรั่วซึมออกมาในขณะขับขี่่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเติมลมรถกระบะเสร็จแล้ว ควรตรวจลมยางซ้ำอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าได้ค่าลมยางในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทางและเพื่อสมรรถภาพสูงสุดในการใช้งานของยางรถยนต์
อ่านต่อ การเติมลมยางรถเก๋ง